ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ตั้งอยู่ริมถนนราชดำเนินใน เป็นปูชนียสถานสำคัญของชาติไทยตามประเพณีเก่าแก่เมื่อสร้างเมืองขึ้นใหม่ ต้องมีพิธียกเสาหลักเมืองเพื่อเป็นสิริมงคล เสาหลักเมืองสร้างด้วยไม้ชัยพฤกษ์ สูงพ้นดิน 108 นิ้ว ส่วนที่ฝังอยู่ในดินลึก 79 นิ้ว มียอดสวมลงบนเสาลงรักปิดทอง สำหรับบรรจุชะตาเมือง ภายในศาลหลักเมืองยังมีเทวรูปเจ้าพ่อสำคัญ 5 องค์ ฝีมือช่วงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น คือ เทพารักษ์ , เจ้าพ่อหอกลอง, พระเสื้อเมือง, พระทรงเมือง, เจ้าพ่อเจตคุปต์ และพระกาฬไชยศรี ทุกวันนี้จะมีประชาชนมากราบไหว้สักการะบูชา บนบานศาลกล่าว และแก้บนด้วยการรำ หรือแสดงละครชาตรีถวาย ตลอดจนปล่อยนกปล่อยปลา เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต สำหรับผู้ที่สนใจไปสักการะบูชาศาลหลักเมืองเปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 05.30-19.30 น.
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร

วัดโพธิ์ หรือนามทางราชการว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกและเป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๑ แห่งราชวงศ์จักรี เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้สถาปนาวัดโพธารามวัดเก่าที่เมืองบางกอกครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นวัดหลวงข้างพระบรมมหาราชวัง และที่ใต้พระแท่นประดิษฐานพระพุทธเทวปฏิมากร พระประธานในพระอุโบสถเป็นที่บรรจุพระบรมอัฐิของพระองค์ท่านไว้ด้วย พระอารามหลวงแห่งนี้มีเนื้อที่ ๕๐ ไร่ ๓๘ ตารางวาอยู่ด้านทิศใต้ของพระบรมมหาราชวัง ทิศเหนือจดถนนท้ายวัง ทิศตะวันออกจดถนนสนามไชย ทิศใต้จดถนนเศรษฐการ ทิศตะวันตกจดถนนมหาราช มีถนนเชตุพนขนาบด้วยกำแพงสูงสีขาวแบ่งเขตพุทธาวาสและสังฆาวาสชัดเจน มีหลักฐานปรากฏในศิลาจารึกไว้ว่า หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสถาปนาพระบรมมหาราชวังแล้ว ทรงพระราชดำริว่า มีวัดเก่าขนาบพระบรมมหาราชวัง ๒ วัด ด้านเหนือ คือ วัดสลัก (วัดมหาธาตุฯ) ด้านใต้คือ วัดโพธาราม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขุนนางเจ้าทรงกรม ช่างสิบหมู่อำนวยการบูรณะปฏิสังขรณ์ เริ่มเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๓๑ ใช้เวลา ๗ ปี ๕ เดือน ๒๘ วัน จึงแล้วเสร็จ และโปรดฯ ให้มีการฉลองเมื่อ พ.ศ. ๒๓๔๔ พระราชทานนามใหม่ว่า “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาศ” ต่อมารัชกาลที่ ๔ ได้โปรดฯ ให้เปลี่ยนท้ายนามวัดเป็น "วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม" ครั้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ นานถึง ๑๖ ปี ๗ เดือน ขยายเขตพระอารามด้านใต้และตะวันตกคือ ส่วนที่เป็นพระวิหารพระพุทธไสยาสสวนมิสกวัน สถาปนาขึ้นใหม่ พระมณฑป ศาลาการเปรียญ และสระจระเข้บูรณปฏิสังขรณ์ใหม่เป็นโบราณสถานในพระอารามหลวงที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้ แม้การบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งล่าสุดเมื่อฉลองกรุงเทพฯ ๒๐๐ ปี พ.ศ. ๒๕๒๕ เป็นเพียงซ่อมสร้างของเก่าให้ดีขึ้น มิได้สร้างเสริมสิ่งใด ๆแม้การบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งล่าสุดเมื่อฉลองกรุงเทพฯ ๒๐๐ ปี พ.ศ. ๒๕๒๕ เป็นเพียงซ่อมสร้างของเก่าให้ดีขึ้น มิได้สร้างเสริมสิ่งใด ๆแม้การบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งล่าสุดเมื่อฉลองกรุงเทพฯ ๒๐๐ ปี พ.ศ. ๒๕๒๕ เป็นเพียงซ่อมสร้างของเก่าให้ดีขึ้น มิได้สร้างเสริมสิ่งใด ๆแม้การบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งล่าสุดเมื่อฉลองกรุงเทพฯ ๒๐๐ ปี พ.ศ. ๒๕๒๕ เป็นเพียง ซ่อมสร้างของเก่าให้ดีขึ้น มิได้สร้างเสริมสิ่งใด ๆแม้การบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งล่าสุดเมื่อฉลองกรุงเทพฯ ๒๐๐ ปี พ.ศ. ๒๕๒๕ เป็นเพียงซ่อมสร้างของเก่าให้ดีขึ้น มิได้สร้างเสริมสิ่งใด ๆ เกร็ดประวัติศาสตร์ของการสถาปนาและการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดโพธิ์แห่งนี้ บันทึกไว้ว่า รัชกาลที่ ๑ และที่ ๓ ขุนนาง เจ้าทรงกรมช่างสิบหมู่ ได้ระดมช่างในราชสำนัก ช่างวังหลวง ช่างวังหน้า และช่างพระสงฆ์ที่อยู่ในวัดต่างๆ ผู้เชี่ยวชาญงานศิลปกรรมสาขาต่างๆ ได้ทุ่มเทผลงานสร้างสรรค์พุทธสถานและสรรพสิ่งที่ประดับอยู่ในวัดพระอารามหลวง ด้วยพลังศรัทธาตามพระราชประสงค์ของพระองค์ท่านที่ให้เป็นแหล่งรวมสรรพศิลป์ สรรพศาสตร์ เปรียบเป็นมหาวิทยาลัยแห่งสรรพวิชาไทย (มหาวิทยาลัยเปิดแห่งแรก) ที่รวมเอาภูมิปัญญาไทยไว้เป็นมรดกให้ลูกหลานไทยได้เรียนรู้กับอย่างไม่รู้จบสิ้น
ศาลเจ้าพ่อเสือ

วัดสุทัศน์เทพวราราม

วัดสุทัศน์เทพวราราม เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ที่ถนนตีทอง และถนนบำรุงเมือง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ มีพระราชประสงค์ ที่จะทำนุบำรุงกรุงรัตนโกสินทร์ ให้เจริญรุ่งเรือง เหมือนครั้งกรุงศรีอยุธยา ได้ทรงสร้างวัดกลางพระนครใกล้เสาชิงช้าใน พ.ศ. ๒๓๕๐ สำหรับประดิษฐานพระโต หรือ พระศรีศากยมุนี ซึ่งทรงตั้งพระทัยจะสร้างให้ใหญ่เท่าวัดพนัญเชิงที่กรุงเก่า จึงโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาขึ้น และอัญเชิญพระโต พระพุทธรูปหล่อสมัยสุโขทัย มาแต่วิหารหลวง วัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัยมาไว้ที่วัดนี้ และทรงขนานนามว่า "วัดมหาสุทธาวาส" แต่ทรงสร้างค้างไว้เพียงรากพระวิหารหลวง ครั้นตั้งพระพุทธรูปไว้เรียบร้อยก็เสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ โปรดเกล้าให้สร้างต่อ โดยสร้างพระวิหารกับบานประตูกลางจำหลัก เริ่มด้วยฝีพระหัตถ์ ค้างอยู่ก็เสด็จสวรรคต ครั้นถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงสร้างพระวิหารจนสำเร็จ และสร้างเพิ่มเติมใหม่หมดทั้งวัด ทรงขนานนามพระพุทธรูปในพระวิหารว่า พระศรีศากยมุนี และพระพุทธรูปในพระอุโบสถว่า พระตรีโลกเชษฐ และพระราชทานนามวัดว่า วัดสุทัศนเทพวราราม ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการปฏิสังขรณ์ อีกครั้งหนึ่ง วัดนี้จึงได้รับการยกย่องว่ามีการวางผังได้สัดส่วนงดงามที่สุดภายในวิหาร เป็นที่ประดิษฐานพระศรีศากยมุนี ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หล่อด้วยโลหะ หน้าตักกว้าง ๓วา ๑ คืบ เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่องค์หนึ่งของไทยมีพุทธลักษณะงดงาม เดิมประดิษฐานอยู่ที่พระวิหารหลวง วัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย หล่อขึ้นในสมัย พระมหาธรรมราชาลิไทย รัชกาลที่ ๑ ทรงเห็นว่า ถ้าทิ้งไว้ที่เดิมก็จะต้องตากแดด ตากฝน ทำให้ชำ-รุด จึงอัญเชิญมายังกรุงเทพเพื่อประดิษฐานไว้ยังพระนคร ที่ผ้าทิพย์ด้านหน้าพระพุทธบัลลังก์ พระศรีศากยมุนี เป็นที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคาร ของสมเด็จพระปรเมนมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ ซึ่งโปรดเกล้าให้อัญเชิญมาบรรจุไว้เมื่อ วันที่ ๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๓
วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร
(สะพานเลี้ยว) แต่เดิมอยู่กลางทุ่งนาจึงเรียกว่าวัดกลางนา สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงสถาปนาวันนี้ขึ้นมาใหม่ และรัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯให้เป็นวัดพระสงฆ์ฝ่ายรามัญเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ทหารรามัญในกองทัพของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ชาวบ้านนิยมเรียกว่า "วัดตองปุ" ตามแบบวัดตองปุในสมัยอยุธยา ต่อมาเมื่อมีชัยชนะต่อกองทหารข้าศึก จึงพระราชทานพระอารามใหม่ว่า "วัดชนะสงคราม"
วัดระฆังโฆสิตาราม
วัดระฆังโฆสิตาราม

ระหว่างนั่งเรือข้ามฟาก ฉันก็จะขอเท้าความถึงประวัติของวัดระฆังให้ฟังก่อนสักหน่อยก็แล้วกันว่า วัดระฆัง เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ก่อนหน้านี้มีชื่อเดิมว่าวัดบางหว้าใหญ่ มาเปลี่ยนเป็นวัดระฆังโฆสิตารามในตอนหลังก็เพราะในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าได้มีการขุดพบระฆังลูกหนึ่งซึ่งมีเสียงไพเราะมาก ซึ่งต่อมารัชกาลที่ 1 ก็ได้นำระฆังลูกนั้นไปไว้ที่วัดพระแก้ว และโปรดให้สร้างหอระฆัง พร้อมทั้งระฆังอีก 5 ลูกไว้ให้แทน จึงเป็นที่มาของชื่อวัดระฆัง แต่จริงๆ แล้ววัดนี้ยังเคยมีอีกชื่อหนึ่งว่า วัดราชคัณฑิยาราม ซึ่งเป็นชื่อที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งให้ แต่คนไม่นิยมเรียก จึงเรียกกันว่าวัดระฆังมาจนถึงบัดนี้ และทำให้ใครๆ มักจะนำเอาระฆังทั้งเล็กใหญ่มาถวายที่วัดนี้เพื่อเป็นการทำบุญอีกด้วย เพราะฉันเห็นระฆังเหล่านั้นแขวนเรียงกันอยู่มากมายข้างๆ โบสถ์ พอลมพัดมาทีหนึ่งก็ได้ยินเสียงระฆังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ แต่ฉันว่า ถ้าพูดถึงวัดระฆังขึ้นมา สิ่งหนึ่งที่หลายคนต้องนึกถึงก็คือ หลวงพ่อโต และพระคาถาชินบัญชร เพราะหลวงพ่อโต หรือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) สมเด็จพระราชาคณะที่มีชื่อเสียงของวัดนี้ เป็นที่เคารพนับถือของเหล่าพุทธศาสนิกชนเป็นอย่างมาก และท่านยังเป็นผู้ที่นำเอาบทสวดอันศักดิ์สิทธิ์ที่ตกทอดมาจากลังกามาดัดแปลงแต่งเติมให้สมบูรณ์ขึ้น จนกลายเป็นพระคาถาชินบัญชรที่เราๆ รู้จักกันดี ซึ่งหากผู้ใดสวดเป็นประจำแล้วก็จะเกิดความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง แน่นอนว่า ที่วัดระฆังนี้ต้องมีรูปเคารพของท่านอยู่แน่นอน แต่ก่อนที่จะไปกราบท่าน ฉันว่าเราควรจะเข้าไปไหว้พระประธานในโบสถ์กันก่อนเป็นอย่างแรกจะดีกว่า สำหรับพระประธานในพระอุโบสถวัดระฆังนี้มีเรื่องเล่ากันว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เคยตรัสว่า "ไปวัดไหนไม่เหมือนมาวัดระฆัง พอเข้าประตูโบสถ์ พระประธานยิ้มรับฟ้าทุกที " น่าจะเป็นเพราะพระพักตร์ของพระพุทธรูปที่อ่อนโยนและเมตตา ทำให้เห็นเป็นเช่นนั้น ใครที่อยากรู้ว่า พระประธานยิ้มรับฟ้าเป็นอย่างไร เชิญมาชมได้ที่อุโบสถวัดระฆัง ไหว้พระประธานภายในโบสถ์เสร็จแล้ว ก็ลองเดินชมจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามไม่ใช่เล่น ภาพผนังด้านหน้าพระประธานเป็นภาพพระพุทธเจ้าเสด็จจากดาวดึงส์ และภาพเดียรถีย์ท้าแข่งรัศมีกับพระพุทธองค์ ส่วนด้านหลังเป็นภาพพระมาลัยขณะขึ้นไปนมัสการพระมหาจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ผนังด้านข้างเบื้องบนเขียนเป็นรูปเทพชุมนุม ตอนล่างเขียนภาพทศชาติชาดก เมื่อได้ดูภาพจิตรกรรมฝาผนังนี้แล้วฉันบอกได้เลยว่าใครเป็นคนวาด เพราะบนภาพมีชื่อคนเขียนอยู่เรียบร้อย คือเสวกโท พระวรรณวาดวิจิตร (ทอง) จารุวิจิตร ซึ่งเป็นจิตรกรเอกในสมัยรัชกาลที่ 6 เขียนขึ้นเมื่อ พ.ศ.2465 เมื่อออกมาจากพระอุโบสถแล้วจะเห็นว่า ด้านหน้ามีวิหารสองหลังตั้งอยู่ หลังหนึ่งนั้นเป็นวิหารสมเด็จพระสังฆราช (สี) ซึ่งเป็นพระสังฆราชองค์แรกของกรุงรัตนโกสินทร์ ส่วนวิหารอีกหลังที่อยู่ตรงกันข้ามติดแอร์เย็นฉ่ำ เป็นวิหารที่ประดิษฐานรูปหล่อสมเด็จพระราชาคณะของวัด นี้ไว้ 3 องค์ คือ ซึ่งก็คือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) สมเด็จพระพุฒาจารย์ (ม.จ.ทัด เสนีวงศ์) และสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว.เจริญ อิศรางกูร) ซึ่งทั้งสามท่านนี้เป็นพระภิกษุที่มีคนเคารพนับถืออย่างมาก ฉันเห็นมีคนเข้ามาสักการะท่านทั้งสามไม่ขาดสาย โดยมีเครื่องสักการะเป็นดอกไม้ มาลัยและหมากพลูต่างๆ สวดมนต์ท่องคาถาชินบัญชร และเมื่อสวดจบแล้วก็จะปิดทองที่องค์ท่านเป็นอันเสร็จ
วัดอรุณราชวราราม

เมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดให้ย้ายราชธานีจากกรุงศรีอยุธยามาตั้ง ณ กรุงธนบุรีและได้ทรงสร้างพระราชวังใหม่ มีการขยายเขตพระราชฐาน เป็นเหตุให้วัดแจ้งตั้งอยู่กลางพระราชวังจึงไม่โปรดให้มีพระสงฆ์จำพรรษา นอกจากนั้นในช่วงเวลาที่กรุงธนบุรีเป็นราชธานี ถือกันว่าวัดแจ้งเป็นวัดคู่บ้านคู่เมือง เนื่องจากเป็นวัดที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตและพระบาง ซึ่งสมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึก (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) ได้อัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญ ๒ องค์นี้มาจากลาวในคราวที่เสด็จตีเมืองเวียงจันทร์ได้ในปี พ.ศ. ๒๓๒๒โดยโปรดให้อัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบางขึ้นประดิษฐานไว้ในมณฑป และมีการสมโภชใหญ่ ๗ คืน ๗ วัน(ในปี พ.ศ. ๒๓๒๗ พระแก้วมรกตได้ย้ายมาประดิษฐาน ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมหาราชวัง ส่วนพระบางนั้นสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้โปรดพระราชทานคืนไปนครเวียงจันทร์ แต่สำเร็จเพียงแค่กุฎีสงฆ์ก็สิ้นรัชกาลที่ ๑ ใน พ.ศ. ๒๓๕๒ เสียก่อน ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ พระองค์ทรงดำเนินการปฏิสังขรณ์ต่อจนเสร็จ ทั้งได้ทรงปั้นหุ่นพระพุทธรูปด้วยฝีพระหัตถ์ และโปรดให้หล่อขึ้นประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถ และโปรดให้มีมหรสพสมโภชฉลองวัดในปี พ.ศ. ๒๓๖๓ แล้วโปรดพระราชทานพระนามวัดว่า "วัดอรุณราชธาราม"
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ได้ทรงปฏิสังขรณ์วัดอรุณฯ ใหม่หมดทั้งวัด พร้อมทั้งโปรดให้ลงมือก่อสร้างพระปรางค์ตามแบบที่ทรงคิดขึ้นจนสำเร็จเป็นพระเจดีย์สูง ๑ เส้น ๑๓ วา ๑ ศอก ๑ คืบ กับ ๑ นิ้ว ฐานกลมวัดโดยรอบได้ ๕ เส้น ๓๗ วา ซึ่งการก่อสร้างและปฏิสังขรณ์สิ่งต่าง ๆ ภายในวัดอรุณฯ นี้สำเร็จลงแล้ว แต่ยังไม่ทันมีงานฉลองก็สิ้นรัชกาลที่ ๓ ในปี พ.ศ. ๒๓๙๔ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เสด็จเถลิงถวัลราชสมบัติ พระองค์ได้โปรดให้สร้างและปฏิสังขรณ์สิ่งต่าง ๆ ในวัดอรุณฯ เพิ่มเติมอีกหลายอย่าง ทั้งยังได้อัญเชิญพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมาบรรจุไว้ที่พระพุทธอาสน์ของพระประธานในพระอุโบสถที่พระองค์ทรงพระราชทานนามว่า "พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก" และเมื่อได้ทรงปฏิสังขรณ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้พระราชทานนามวัดเสียใหม่ว่า"วัดอรุณราชวราราม" ดังที่เรียกกันมาจนถึงปัจจุบัน
ครั้นถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เกิดเพลิงไหม้พระอุโบสถ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์พระอุโบสถใหม่เกือบทั้งหมด โดยได้โปรดให้กรมหมื่นปราบปรปักษ์เป็นแม่กองในการบูรณะ และโปรดเกล้าฯให้นำเงินที่เหลือจากการบริจาคของพระบรมวงศานุวงศ์ไปสร้างโรงเรียนตรงบริเวณกุฎีเก่าด้านเหนือ ซึ่งชำรุดไม่มีพระสงฆ์อยู่เป็นตึกใหญ่แล้วพระราชทานนามว่า "โรงเรียนทวีธาภิเศก" นอกจากนั้นยังได้โปรดให้พระยาราชสงครามเป็นนายงานอำนวยการปฏิสังขรณ์พระปรางค์องค์ใหญ่ และเมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงโปรดให้มีการฉลองใหญ่รวม ๓ งานพร้อมกันเป็นเวลา ๙ วัน คือ งานฉลองพระไชยนวรัฐ งานบำเพ็ญพระราชกุศลพระชนมายุสมมงคล คือ มีพระชนมายุเสมอพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และ งานฉลองพระปรางค์ ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ มีการบูรณะปฏิสังขรณ์หลายอย่าง โดยเฉพาะพระปรางค์วัดอรุณฯ ได้รับการปฏิสังขรณ์เป็นการใหญ่มีการประกอบพิธีบวงสรวงก่อนเริ่มการบูรณะพระปรางค์ในวันพุธที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๑๐ และการบูรณะก็สำเร็จด้วยดีดังเห็นเป็นสง่างามอยู่จนทุกวันนี้ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๖๓ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดเกล้าฯ ให้มีการปฏิสังขรณ์และฉลองวัดและพระราชทานนามใหม่ว่า "วัดอรุณราชธาราม" ครั้นถึงรัชการพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้บูรณะปฏิสังขรณ์เพิ่มเติมอีก แล้วทรงเปลี่ยนชื่อวัดเป็น "วัดอรุณราชวราราม" ดังที่เรียกกันมาจนถึงปัจจุบัน
วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร

1. พระวิหาร เป็นพระวิหารที่มีขนาดใหญ่โตมาก ตั้งอยู่กลางวัดตรงกลางระหว่างวิหารเล็กและ พระอุโบสถ หน้าบันพระวิหารสลักลายดอกไม้ประดับกระจกตามแบบศิลปสมัยรัชกาลที่ 3 บานประตูหน้าต่างเป็นไม้หนาแผ่นเดียวสลักลวดลายปิดทองประดับกระจก เสาภายใน พระวิหารเขียนเป็นลายดอกไม้ ภายในพระวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไตรรัตนนายก พระพุทธรูปปูนปั้น ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 5 วา 3 ศอกคืบ สูง 7 วา 2 ศอกคืบ 10 นิ้ว รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างพระราชทานช่วยเจ้าพระยานิกรบดินทร์ ได้เสด็จก่อพระฤกษ์เมื่อ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2380 เรียกกันว่า พระโต หน้าพระวิหารประดับด้วยตุ๊กตาจีน มีประตูทางเข้าเป็นศาลาใหญ่ ภายใน ประดับด้วยปูนปั้นและรูปศาลาจีน ศาลาใหญ่เบื้องหน้าเป็นศาลาโถง มีทางปูศิลากว้างขวาง ลาดมาจากศาลาท่าน้ำจนถึงประตู สองข้างทางมีเก๋งจีน เจดีย์จีน และศาลเจ้าเล็ก ๆ
2. พระวิหารเล็ก ยังมีพระวิหารเล็กอีกหลังหนึ่งอยู่ติดกับพระวิหารใหญ่ทางด้านซ้ายมือ ภายใน มีภาพเขียนฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ 3 มีความสำคัญทางด้านศิลปและประวัติศาสตร์ นับเป็น ศิลปชิ้นเอกของวัด บานประตูมีภาพทวารบาล และภาพลงรักปิดทอง
3. พระอุโบสถ อยู่ทางด้านขวามมือของพระวิหาร หันหน้าไปทางทิศเหนือ ฝาพนังด้านใน เขียนภาพพุทธประวัติและภาพเครื่องบูชาเป็นโต๊ะลดหลั่นกันแบบจีน เสาเขียนลาย ทรงข้าวบิณฑ์ พระประธานในพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปหล่อปางป่าลิไลก์ ซึ่ง รัชกาลที่ 3 ทรงสร้างพระราชทาน นอกจากนั้นยังมีพระพุทธรูปที่สำคัญอีกองค์หนึ่ง เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ หล่อสำริด หน้าตัก 57 เซนติเมตร สร้างโดยเจ้าพระยา รัตนบดินทร์ (รอด กัลยาณมิตร) หลังพระอุโบสถ มีเจดีย์เหลี่ยมพร้อมฐานประทักษิณ ฝีมือช่างจากเมืองจีน โดย ช่างในเมืองไทยสมัยรัชกาลที่ 3 ส่งแบบและขนาดให้ช่างหล่อศิลาเทียม แล้าเอาเข้ามา ประกอบในเมืองไทย มีกำแพงแก้วล้อมรอบ
4. หอพระธรรม อยู่ทางด้านขวามมือของพระวิหาร หันหน้าไปทางทิศเหนือ ฝาพนังด้านใน เขียนภาพพุทธประวัติและภาพเครื่องบูชาเป็นโต๊ะลดหลั่นกันแบบจีน เสาเขียนลาย ทรงข้าวบิณฑ์ อยู่ข้างวิหารหลวงด้านเหนือ ก่ออิฐถือปูน หลังคาลด 2 ชั้น มีช่อฟ้า ใบระกา หน้าบันทำเป็นรูปลายเปลว ตรงกลาทำเป็นรูปสัญญลักษณ์ของรัชกาลที่ 4 มีพระมหามงกุฎ พระขรรค์ไชยศรี ฉลองพระบาท พระแส้ ประดิษฐานเหนือพานบานประตูหน้าต่างสลักลายดอกไม้ปิดทองประดับกระจก ภายในหอชั้นบนประดิษฐานตู้พระธรรมจตุรมุข สลักลายปิดทอง 1ตู้ หอพระธรรมนี้สถาปนาโดย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปีพ.ศ. 2408 ทรงพระราชทานนามว่า "หอพระธรรมมณเฑียรเถลิงพระเกียรติ" เพื่อเฉลิมพระเกียรติในพระบรมราชมาตมหัยยิกา กรมพระศรีสุดารักษ์ ผู้เป็นพระเชษฐภคินี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
5. หอไตร สร้างขึ้นตรงที่จอดแพของกรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์ ปัจจุบันเป็ห้องสมุดของวัด
6. หอระฆัง ตั้งอยู่ระหว่างวิหารใหญ่กับวิหารเล็ก ฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ 4 และที่ 5 ระฆังที่อยู่ที่นี่ใบใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
7. ศาลาการเปรียญ ตั้งอยู่มุมวัดด้านตะวันออก มี 5 ห้อง รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชทานช่วย
8. เจดีย์ประดับหินอ่อน อยู่หน้าศาลาการเปรียญ สร้างโดยเจ้าพระยารัตนบดินทร์ (รอด กัลยาณมิตร)เมื่อยังเป็นพระยาราชวรานุกุล เมื่อ พ.ศ. 2407 โดยนำเอาอัฐิของเจ้าพระยาปกรบดินทร์บรรจุไว้ในพระเจดีย์นี้ มีกำแพงแก้วรอบ มีบันไดขึ้นลง 2 ข้าง มีเจดีย์จีนซึ่งเรียกว่าถะอยู่ 4 มุม
9. ศาลาเก๋งจีน ตัวศาลาก่ออิฐถือปูน มีพาไลรอบ 2 หลัง ตั้งอยู่ 2 ข้างถนนหน้าพระวิหารหลวง
10. ศาลาตรีมุข อยู่หน้าพระวิหารหลวงต่อกับกำแพงแก้ว หน้าบันสลักรูปเทพบุตร พระหัตถ์ถือสมุดประทับยืนในเรือนแก้ว
11. หมู่กุฎสงฆ์ มีทั้งแบบเก่าและแบใหม่ เป็นฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 5 ตึกศิลปสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นตึกฝรั่ง มีศิลปการฉลุไม้และการออกแบบที่น่าศึกษา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น